วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายรูปโบเก้สวยๆได้ทุกที่ทุกเวลา...^_^ ..

แม้ว่าในปัจจุบันเลนส์ซูมจะถือได้ว่าเป็นยุคของเลนส์ซูม แต่เลนส์เดี่ยวก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างเหนียวแน่นจากผู้ใช้งาน ถึงแม้จะมีทางยาวโฟกัสที่ตายตัว แต่เลนส์เดี่ยวเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติดีๆ มากมายที่สามารถเอาชนะข้อเสียอันนี้ อย่างเช่น "เอฟเฟ็กต์โบเก้" "ภาพที่ไม่สั่นไหว" "การถ่ายทอดภาพที่คมชัด" ในบทความนี้ ผมจะเน้นในเรื่องเอฟเฟ็กต์โบเก้ของเลนส์เดี่ยว และอธิบายเทคนิคเกี่ยวกับวิธีการใช้งานในการถ่ายภาพพอร์ตเทรต ซึ่งเป็นแนวการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยม (เรื่องโดย: Ryosuke Takahashi)

EOS 5D Mark II/ EF50mm f/1.4 USM/ Aperture-priority AE (1/500 วินาที, f/2.0)/ ISO 100/ WB: แสงแดด

แนะนำการใช้เลนส์ EF50mm f/1.4 USM

เมื่อพิจารณาระยะห่างจากนางแบบ ผมเลือกเลนส์ EF50mm f/1.4 USM ที่มีระยะโฟกัสสั้นสุดประมาณ 45 ซม. ด้วยการลดรูรับแสงลงที่ f/2 ผมก็เบลอรูปร่างของคนและวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในแบ็คกราวด์ได้พอสมควร แต่ยังคงเก็บบรรยากาศของสถานที่เอาไว้ได้ เมื่อใช้โหมดแมนนวลโฟกัส (MF) ผมสามารถทำการโฟกัสที่ตาข้างขวา ซึ่งไม่ครอบคลุมอยู่ในจุด AF

การใช้โบเก้เพื่อเน้นธีมหลักให้โดดเด่น

ขั้นตอนที่ 1. ตั้งค่าโหมดการถ่ายภาพไปที่ Av

หมุนแหวนเลือกโหมดให้ตรงกับโหมด Aperture-priority AE (Av) ที่โหมดกึ่งอัตโนมัตินี้ ผู้ถ่ายภาพต้องระบุค่ารูรับแสง (ค่า f) ขณะที่กล้องจะกำหนดค่าอื่นๆ รวมทั้งความเร็วชัตเตอร์เองโดยอัตโนมัติ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของโหมด Av คือ คุณสามารถควบคุมปริมาณโบเก้ได้ง่าย นี่เป็นโหมดที่จะต้องใช้ถ้าคุณต้องการเน้นเรื่องโบเก้ เพราะค่ารูรับแสงจะไม่เปลี่ยนไปตามความสว่างของตัวแบบ และจะกำหนดปริมาณแสงที่เหมาะสมโดยการปรับค่าต่างๆ เช่น ความเร็วชัตเตอร์

ขั้นตอนที่ 2. ปรับสวิตช์โหมดการโฟกัสมาที่ MF

เลือกโหมดแมนนวลโฟกัส (MF) ขณะที่ใช้แมนนวลโฟกัส คุณสามารถกำหนดระยะโฟกัสตรงจุดใดก็ได้ในระหว่างที่มองผ่านช่องมองภาพ โหมดนี้ใช้ได้ดีกับการถ่ายภาพพอร์ตเทรต ซึ่งช่างภาพจะต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนของตัวเองไปหลายๆ จุดเพื่อจะสร้างภาพถ่ายที่ดูแตกต่าง โดยจับโฟกัสให้แม่นยำที่ดวงตาของนางแบบ นอกจากนี้ เมื่อใส่เลนส์เดี่ยวที่มีความสว่างซึ่งมีค่ารูรับแสงกว้างสุดเป็นตัวเลขน้อยๆ ภาพที่มองเห็นในช่องมองภาพจะสว่าง ทำให้คุณตรวจเช็คโฟกัสได้สะดวก

ขั้นตอนที่ 3. ถือกล้องให้กระชับมือ

เพื่อให้ได้โฟกัสที่คมชัดแม่นยำ ผมวางข้อศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะเพื่อให้กล้องมั่นคง ผมมุ่งความสนใจไปยังพื้นที่โฟกัส และใช้โต๊ะสีขาวเป็นรีเฟลกเตอร์เพื่อสะท้อนแสง สภาพแวดล้อมรอบข้างถูกปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการถ่าย เช่น การจัดให้แสงดวงไฟสะท้อนอยู่ในตาของนางแบบขณะที่ปรับความสว่างของใบหน้า

ขั้นตอนที่ 4. กำหนดโฟกัสหลังจากวางองค์ประกอบภาพ

ผมมองผ่านช่องมองภาพเพื่อจะจัดวางองค์ประกอบภาพ แล้วตั้งจุดโฟกัสตรงตาข้างขวาของนางแบบ ที่ค่ารูรับแสง f/2 ซึ่งใกล้เคียงกับค่ารูรับแสงสูงสุดของเลนส์เดี่ยว ระยะชัดของภาพ (ช่วงโฟกัสที่ยอมรับได้) อาจจะตื้นกว่าที่คุณคิดไว้ คุณจึงควรจะมีไอเดียที่ชัดเจนว่าส่วนใดของดวงตาที่คุณต้องการจับโฟกัส

ขั้นตอนที่ 5. ควบคุมจำนวนโบเก้ตามองศาของใบหน้า

เมื่อถ่ายภาพครึ่งตัวบนของนางแบบโดยใช้เลนส์เดี่ยวที่มีค่า f ต่ำๆ แล้ว การเปลี่ยนทิศทางการเบนหน้าสักเล็กน้อยจะช่วยเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของโบเก้และความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างมาก ในตัวอย่างนี้ ภาพถ่ายทั้งสองถ่ายจากระยะเดียวกัน ภาพด้านหน้า ใบหน้าทั้งหมดโดยเฉพาะตาและริมฝีปากปรากฏอยู่ในโฟกัส เมื่อเอียงใบหน้าไปทางด้านข้าง จะเห็นความเบลอที่บริเวณใบหน้าครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ในการถ่ายภาพพอร์ตเทรต คุณควรดูว่า ตำแหน่งของเอฟเฟ็กต์โบเก้เปลี่ยนแปลงไปตามมุมกล้องที่เลือกถ่ายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการเปลี่ยนระยะชัดลึก หรือช่วงโฟกัสที่ยอมรับได้เพียงอย่างเดียว

คอลัมน์: การเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของโทนสีผิวกับค่า f

f/1.4

f/2.8

f/5.6

f/8

ในภาพตัวอย่างนี้ ใช้เลนส์ EF50mm f/1.4 USM เพื่อถ่ายภาพโคลสอัพใบหน้าจากระยะใกล้ จับโฟกัสที่ดวงตาข้างซ้าย เมื่อใช้ค่า f ต่ำๆ จะสังเกตว่าดวงตาข้างซ้ายเท่านั้นที่อยู่ในโฟกัส ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของใบหน้าจะกลายเป็นภาพเบลอ ลักษณะเช่นนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกที่นุ่มนวลให้กับภาพทั้งภาพ เมื่อค่า f เพิ่มสูงขึ้น ระยะโฟกัสที่ยอมรับได้ก็จะมากขึ้นตาม และจะถ่ายทอดโทนสีผิวได้คมชัดขึ้น หากเราดูที่ภาพถ่ายทั้ง 4 ภาพนี้ เมื่อใช้ค่ารูรับแสง f/8 ทั่วทั้งใบหน้าจะออกมาชัดสดใส ขณะที่เส้นผมในระยะแบ็คกราวด์ยังคงความเบลอ ตัวอย่างกรณีของภาพถ่ายทิวทัศน์ทั่วไปและภาพสแนปช็อต หลายภาพอาจปรากฏภาพที่ทั้งภาพออกมาคมชัดที่ค่า f/8 อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพที่ถ่ายจากระยะใกล้ เช่น ภาพพอร์ตเทรต ระยะโฟกัสที่ยอมรับได้จะแคบมาก แม้ว่าจะตั้งค่า f ไว้สูงก็ตาม แม้ว่าคุณอาจรู้สึกอยากถ่ายภาพด้วยค่ารูรับแสงกว้างสุดเมื่อใช้เลนส์เดี่ยวที่มีค่า f ต่ำ แต่แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้มากคือ ภาพที่ออกมาไม่มีจุดโฟกัสเลย ดังนั้น สำหรับภาพพอร์ตเทรตที่ถ่ายจากระยะใกล้ ให้เลือกค่า f ที่เหมาะสม พร้อมกับระลึกไว้เสมอว่า เอฟเฟ็กต์โบเก้ที่สวยเพียงพอเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะลดขนาดรูรับแสงลง

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความเร็วชัตเตอร์ คืออะไร

ความเร็วชัตเตอร์ ( shutter speed ) ความเร็วชัตเตอร์มีผลต่อการเคลื่อนไหวของวัตถุ โดยอาจทำให้แบบหยุดนิ่งได้ หรือ หรือ มีลักษณะการเคลื่อนไหว
- ความเร็วชัตเตอร์สูงๆจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง
- ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ จะทำให้วัตถุเหมือนเคลื่อนที่
shutter speed มีผลกับความเร็วในการเปิดปิดช่องรับแสง โดยที่ค่าความเร็วชัตเตอร์มีค่ามาก แสงจะผ่านเข้ามาได้น้อย ส่วน ความเร็วชัตเตอร์น้อยแสงจะผ่านเข้าสู่กล้องได้มาก

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รูรับแสง คืออะไร

รูรับแสง คืออะไร


เรื่อง/ภาพ โดย Klongdigital.com วันที่ 07 ก.ค. 2555 เวลา 15:01 น. อ่านไป 13,385 ครั้ง

รูรับแสง  (f stop number) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า หน้ากล้อง

number   คือปริมาณแสงที่ส่งผ่านไปยังเซนเซอร์รับภาพ (Image Sensor) มีหน่วยวัด เป็น F number

-  ค่า
 f stop number จะดูได้จาก  f stop number มากๆรูรับแสงจะแคบ ส่วน f stop number มากๆ รูรับแสงจะกว้าง โดย  F 2.8 (กว้าง) – F 16 (แคบ)

 

 

f number  นั้นจะเพิ่มเป็นขึ้น ( stop ) เช่น F 2.0 ,  2.8 , 4 , 5.6 , 8 , 11 , 16 , 22 ในแต่ละขั้นจะทำให้แสงเพิ่มขึ้นเท่าตัว เช่นค่ารูรับแสง f2 จะให้ปริมาณแสงมากกว่าขนาดรูรับแสง f2.8 อยู่ 1 สตอป มากกว่า f4 อยู่ 2 สตอป หมายความว่ายิ่งเลือกใช้ค่ารูรับแสงมากขึ้น ม่านไดอะแฟรมในตัวเลนส์ก็จะยิ่งหรี่เล็กลง แสงจะผ่านไปยังเซนเซอร์ได้น้อย

 

 

ค่า  f stop number ยังไม่ได้ทำให้แสงเพิ่มขึ้นอย่างเดียว ยังทำให้ค่า ระยะชัด (Depth of field) เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ระยะชัดหมายถึงพื้นที่ความคมชัดที่เกิดขึ้นในแนวระนาบขนานกับตัวกล้องหรือเซนเซอร์รับภาพ ภาพที่มีระยะชัดน้อยเราเรียกภาพนั้นว่า ภาพชัดตื้น แต่ถ้าในภาพมีระยะชัดมากหรือครอบคลุมเกือบทั่วทั้งภาพ เราเรียกภาพลักษณะนี้ว่า ภาพชัดลึก

ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงกับระยะชัดในภาพคือขนาดรูรับแสงและตำแหน่งโฟกัสภาพ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงขนาดรูรับแสงก่อนเป็นอันดับแรก

การควบคุมระยะชัดในภาพให้มีมากหรือน้อย กำหนดได้ด้วยขนาดรูรับแสง หากเลือกใช้ขนาดรูรับแสงกว้างจะทำให้ช่วงระยะชัดในภาพมีน้อย ตรงกันข้ามขนาดรูรับแสงที่เล็กแคบจะช่วยเพิ่มระยะชัดในภาพให้มีมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากเราถ่ายภาพคนที่อยู่ห่างออกไป 2 เมตร โดยใช้เลนส์ 50 มม.ตำแหน่งโฟกัสภาพคือใบหน้า ถ้าเลือกใช้ขนาดรูรับแสงที่ f2.8 ระยะชัดที่เกิดในภาพจะมีเฉพาะแต่ตัวคนเท่านั้น หมายถึงว่าส่วนอื่นนอกเหนือจากนั้นจะเริ่มพร่าเลือน ยิ่งห่างจากตำแหน่งโฟกัสมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพร่าเลือนมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าเปลี่ยนขนาดรูรับแสงให้เล็กลงเป็น f5.6 เราจะได้ระยะชัดที่เพิ่มมากขึ้น ตัวคนจะคมชัดทั้งหมดรวมไปถึงสิ่งของที่อยู่ใกล้ในบริเวณนั้นด้วย และถ้าใช้ขนาดรูรับแสงที่เล็กแคบมากๆ เช่นขนาด f16 ระยะชัดในภาพก็จะยิ่งมีมากขึ้นอีก โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวคนเป็นระยะทางมากขึ้น

การถ่ายภาพบางประเภทจำเป็นต้องคุมระยะชัดในภาพให้มีมากพอ เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน เช่นภาพวิว ภาพสถานที่ ขนาดรูรับแสงที่ใช้จึงมักมีขนาดเล็ก โดยมากจะอยู่ในช่วง f8 เป็นต้นไปจนถึง f16 หรือ f22

แต่กับภาพบางประเภท ระยะชัดเพียงน้อยนิดกลับทำให้ภาพดูดีกว่า เช่นการถ่ายภาพบุคคล หรือภาพพอร์ทเทรต เมื่อเราปล่อยให้สิ่งต่างๆในภาพเลือนหายไปอยู่นอกระยะชัด คนในภาพจะดูลอยเด่นเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น เราอาจเลือกใช้รูรับแสงได้ตั้งแต่ f1.4 ไปจนถึง f5.6 ซึ่งเป็นขนาดรูรับแสงที่ให้ระยะชัดไม่มากนัก เพื่อขจัดส่วนอื่นออกไป

ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงเท่าใด ขึ้นอยู่กับลักษณะของภาพที่ถ่ายและแนวชอบของช่างภาพแต่ละคนเป็นหลัก ไม่ถือเป็นกฏตายตัวแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

landscape คืออะไร

landscape คือ การถ่ายภาพแนววิวทิวทัศน์ ผู้ที่ชอบถ่ายแนว landscape นั้นต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล การรอเวลา และต้องเสียพละกำลังเป็นจำนวนมาก บางคนมักพูดว่า การถ่าย landscape นั้นต้องใช้เลนส์ wide (เลนส์มุมกว้าง ) แต่จริงๆแล้วเลนส์ซูมก็สามารถถ่ายในแนว landscape ได้เหมือนกัน เช่น ทะเลหมอก พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น/ตก ทำให้ภาพดูเด่นและ ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว การซูมเข้าไปยังวัตถุนั้นทำให้ภาพวิวแปลกตาขึ้นอีกด้วย การถ่ายภาพแนว landscape (แนวทิวทัศน์) นั้นควรมีฉากหน้าและฉากหลัง เพื่อให้แสดงระยะของมิติภาพ บางครั้งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาฉากหน้าหรือฉากหลังให้เด่นกว่ากัน อาจใช้ฉากหน้าเป็นเฟรมของภาพ หรือให้ฉากหน้าเป็นเส้นนำสายตาไปยังจุดของฉากหลัง เราสามารถนำเส้นนำสายตาเช่นแนวเส้นถนน ช่องหิน สายน้ำ แนวหิน เส้นขอบสะพาน เป็นตัน

การถ่าย การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ( landscape ) ต้องเตรียมตัวและปรับตั้งค่าอะไรบ้าง
1. ขาตั้งกล้อง เพราะบางช่วงเวลาอาจมีแสงน้อยเช่นถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น / ตก เวลาถ่ายรถวิ่งในยามค่ำคืน การใช้รูรับแสงแคบ เช่น F 16 ขึ้นไปแฉกที่เกิดจากการสะท้อนแสงจะเป็นเส้นๆดูสวยงาม
2. ปรับการตั้งค่าไปที่หมวด M และปรับ ISO ที่น้อยที่สุด
3. ปรับแต่ง WB เพื่อภาพที่ดูแตกต่าง
4. มักนิยมปรับค่ารูรับแสงอยู่ที่ F16 ขึ้นไปในการถ่าย landscape
5. ถ่ายด้วยไฟล์ Raw เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าแสงได้ทีหลัง ( มักมีในกล้องดิจิตอลราคาแพง )