วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายรูปโบเก้สวยๆได้ทุกที่ทุกเวลา...^_^ ..

แม้ว่าในปัจจุบันเลนส์ซูมจะถือได้ว่าเป็นยุคของเลนส์ซูม แต่เลนส์เดี่ยวก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างเหนียวแน่นจากผู้ใช้งาน ถึงแม้จะมีทางยาวโฟกัสที่ตายตัว แต่เลนส์เดี่ยวเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติดีๆ มากมายที่สามารถเอาชนะข้อเสียอันนี้ อย่างเช่น "เอฟเฟ็กต์โบเก้" "ภาพที่ไม่สั่นไหว" "การถ่ายทอดภาพที่คมชัด" ในบทความนี้ ผมจะเน้นในเรื่องเอฟเฟ็กต์โบเก้ของเลนส์เดี่ยว และอธิบายเทคนิคเกี่ยวกับวิธีการใช้งานในการถ่ายภาพพอร์ตเทรต ซึ่งเป็นแนวการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยม (เรื่องโดย: Ryosuke Takahashi)

EOS 5D Mark II/ EF50mm f/1.4 USM/ Aperture-priority AE (1/500 วินาที, f/2.0)/ ISO 100/ WB: แสงแดด

แนะนำการใช้เลนส์ EF50mm f/1.4 USM

เมื่อพิจารณาระยะห่างจากนางแบบ ผมเลือกเลนส์ EF50mm f/1.4 USM ที่มีระยะโฟกัสสั้นสุดประมาณ 45 ซม. ด้วยการลดรูรับแสงลงที่ f/2 ผมก็เบลอรูปร่างของคนและวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในแบ็คกราวด์ได้พอสมควร แต่ยังคงเก็บบรรยากาศของสถานที่เอาไว้ได้ เมื่อใช้โหมดแมนนวลโฟกัส (MF) ผมสามารถทำการโฟกัสที่ตาข้างขวา ซึ่งไม่ครอบคลุมอยู่ในจุด AF

การใช้โบเก้เพื่อเน้นธีมหลักให้โดดเด่น

ขั้นตอนที่ 1. ตั้งค่าโหมดการถ่ายภาพไปที่ Av

หมุนแหวนเลือกโหมดให้ตรงกับโหมด Aperture-priority AE (Av) ที่โหมดกึ่งอัตโนมัตินี้ ผู้ถ่ายภาพต้องระบุค่ารูรับแสง (ค่า f) ขณะที่กล้องจะกำหนดค่าอื่นๆ รวมทั้งความเร็วชัตเตอร์เองโดยอัตโนมัติ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของโหมด Av คือ คุณสามารถควบคุมปริมาณโบเก้ได้ง่าย นี่เป็นโหมดที่จะต้องใช้ถ้าคุณต้องการเน้นเรื่องโบเก้ เพราะค่ารูรับแสงจะไม่เปลี่ยนไปตามความสว่างของตัวแบบ และจะกำหนดปริมาณแสงที่เหมาะสมโดยการปรับค่าต่างๆ เช่น ความเร็วชัตเตอร์

ขั้นตอนที่ 2. ปรับสวิตช์โหมดการโฟกัสมาที่ MF

เลือกโหมดแมนนวลโฟกัส (MF) ขณะที่ใช้แมนนวลโฟกัส คุณสามารถกำหนดระยะโฟกัสตรงจุดใดก็ได้ในระหว่างที่มองผ่านช่องมองภาพ โหมดนี้ใช้ได้ดีกับการถ่ายภาพพอร์ตเทรต ซึ่งช่างภาพจะต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนของตัวเองไปหลายๆ จุดเพื่อจะสร้างภาพถ่ายที่ดูแตกต่าง โดยจับโฟกัสให้แม่นยำที่ดวงตาของนางแบบ นอกจากนี้ เมื่อใส่เลนส์เดี่ยวที่มีความสว่างซึ่งมีค่ารูรับแสงกว้างสุดเป็นตัวเลขน้อยๆ ภาพที่มองเห็นในช่องมองภาพจะสว่าง ทำให้คุณตรวจเช็คโฟกัสได้สะดวก

ขั้นตอนที่ 3. ถือกล้องให้กระชับมือ

เพื่อให้ได้โฟกัสที่คมชัดแม่นยำ ผมวางข้อศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะเพื่อให้กล้องมั่นคง ผมมุ่งความสนใจไปยังพื้นที่โฟกัส และใช้โต๊ะสีขาวเป็นรีเฟลกเตอร์เพื่อสะท้อนแสง สภาพแวดล้อมรอบข้างถูกปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการถ่าย เช่น การจัดให้แสงดวงไฟสะท้อนอยู่ในตาของนางแบบขณะที่ปรับความสว่างของใบหน้า

ขั้นตอนที่ 4. กำหนดโฟกัสหลังจากวางองค์ประกอบภาพ

ผมมองผ่านช่องมองภาพเพื่อจะจัดวางองค์ประกอบภาพ แล้วตั้งจุดโฟกัสตรงตาข้างขวาของนางแบบ ที่ค่ารูรับแสง f/2 ซึ่งใกล้เคียงกับค่ารูรับแสงสูงสุดของเลนส์เดี่ยว ระยะชัดของภาพ (ช่วงโฟกัสที่ยอมรับได้) อาจจะตื้นกว่าที่คุณคิดไว้ คุณจึงควรจะมีไอเดียที่ชัดเจนว่าส่วนใดของดวงตาที่คุณต้องการจับโฟกัส

ขั้นตอนที่ 5. ควบคุมจำนวนโบเก้ตามองศาของใบหน้า

เมื่อถ่ายภาพครึ่งตัวบนของนางแบบโดยใช้เลนส์เดี่ยวที่มีค่า f ต่ำๆ แล้ว การเปลี่ยนทิศทางการเบนหน้าสักเล็กน้อยจะช่วยเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของโบเก้และความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างมาก ในตัวอย่างนี้ ภาพถ่ายทั้งสองถ่ายจากระยะเดียวกัน ภาพด้านหน้า ใบหน้าทั้งหมดโดยเฉพาะตาและริมฝีปากปรากฏอยู่ในโฟกัส เมื่อเอียงใบหน้าไปทางด้านข้าง จะเห็นความเบลอที่บริเวณใบหน้าครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ในการถ่ายภาพพอร์ตเทรต คุณควรดูว่า ตำแหน่งของเอฟเฟ็กต์โบเก้เปลี่ยนแปลงไปตามมุมกล้องที่เลือกถ่ายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการเปลี่ยนระยะชัดลึก หรือช่วงโฟกัสที่ยอมรับได้เพียงอย่างเดียว

คอลัมน์: การเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของโทนสีผิวกับค่า f

f/1.4

f/2.8

f/5.6

f/8

ในภาพตัวอย่างนี้ ใช้เลนส์ EF50mm f/1.4 USM เพื่อถ่ายภาพโคลสอัพใบหน้าจากระยะใกล้ จับโฟกัสที่ดวงตาข้างซ้าย เมื่อใช้ค่า f ต่ำๆ จะสังเกตว่าดวงตาข้างซ้ายเท่านั้นที่อยู่ในโฟกัส ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของใบหน้าจะกลายเป็นภาพเบลอ ลักษณะเช่นนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกที่นุ่มนวลให้กับภาพทั้งภาพ เมื่อค่า f เพิ่มสูงขึ้น ระยะโฟกัสที่ยอมรับได้ก็จะมากขึ้นตาม และจะถ่ายทอดโทนสีผิวได้คมชัดขึ้น หากเราดูที่ภาพถ่ายทั้ง 4 ภาพนี้ เมื่อใช้ค่ารูรับแสง f/8 ทั่วทั้งใบหน้าจะออกมาชัดสดใส ขณะที่เส้นผมในระยะแบ็คกราวด์ยังคงความเบลอ ตัวอย่างกรณีของภาพถ่ายทิวทัศน์ทั่วไปและภาพสแนปช็อต หลายภาพอาจปรากฏภาพที่ทั้งภาพออกมาคมชัดที่ค่า f/8 อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพที่ถ่ายจากระยะใกล้ เช่น ภาพพอร์ตเทรต ระยะโฟกัสที่ยอมรับได้จะแคบมาก แม้ว่าจะตั้งค่า f ไว้สูงก็ตาม แม้ว่าคุณอาจรู้สึกอยากถ่ายภาพด้วยค่ารูรับแสงกว้างสุดเมื่อใช้เลนส์เดี่ยวที่มีค่า f ต่ำ แต่แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้มากคือ ภาพที่ออกมาไม่มีจุดโฟกัสเลย ดังนั้น สำหรับภาพพอร์ตเทรตที่ถ่ายจากระยะใกล้ ให้เลือกค่า f ที่เหมาะสม พร้อมกับระลึกไว้เสมอว่า เอฟเฟ็กต์โบเก้ที่สวยเพียงพอเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะลดขนาดรูรับแสงลง

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความเร็วชัตเตอร์ คืออะไร

ความเร็วชัตเตอร์ ( shutter speed ) ความเร็วชัตเตอร์มีผลต่อการเคลื่อนไหวของวัตถุ โดยอาจทำให้แบบหยุดนิ่งได้ หรือ หรือ มีลักษณะการเคลื่อนไหว
- ความเร็วชัตเตอร์สูงๆจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง
- ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ จะทำให้วัตถุเหมือนเคลื่อนที่
shutter speed มีผลกับความเร็วในการเปิดปิดช่องรับแสง โดยที่ค่าความเร็วชัตเตอร์มีค่ามาก แสงจะผ่านเข้ามาได้น้อย ส่วน ความเร็วชัตเตอร์น้อยแสงจะผ่านเข้าสู่กล้องได้มาก

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รูรับแสง คืออะไร

รูรับแสง คืออะไร


เรื่อง/ภาพ โดย Klongdigital.com วันที่ 07 ก.ค. 2555 เวลา 15:01 น. อ่านไป 13,385 ครั้ง

รูรับแสง  (f stop number) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า หน้ากล้อง

number   คือปริมาณแสงที่ส่งผ่านไปยังเซนเซอร์รับภาพ (Image Sensor) มีหน่วยวัด เป็น F number

-  ค่า
 f stop number จะดูได้จาก  f stop number มากๆรูรับแสงจะแคบ ส่วน f stop number มากๆ รูรับแสงจะกว้าง โดย  F 2.8 (กว้าง) – F 16 (แคบ)

 

 

f number  นั้นจะเพิ่มเป็นขึ้น ( stop ) เช่น F 2.0 ,  2.8 , 4 , 5.6 , 8 , 11 , 16 , 22 ในแต่ละขั้นจะทำให้แสงเพิ่มขึ้นเท่าตัว เช่นค่ารูรับแสง f2 จะให้ปริมาณแสงมากกว่าขนาดรูรับแสง f2.8 อยู่ 1 สตอป มากกว่า f4 อยู่ 2 สตอป หมายความว่ายิ่งเลือกใช้ค่ารูรับแสงมากขึ้น ม่านไดอะแฟรมในตัวเลนส์ก็จะยิ่งหรี่เล็กลง แสงจะผ่านไปยังเซนเซอร์ได้น้อย

 

 

ค่า  f stop number ยังไม่ได้ทำให้แสงเพิ่มขึ้นอย่างเดียว ยังทำให้ค่า ระยะชัด (Depth of field) เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ระยะชัดหมายถึงพื้นที่ความคมชัดที่เกิดขึ้นในแนวระนาบขนานกับตัวกล้องหรือเซนเซอร์รับภาพ ภาพที่มีระยะชัดน้อยเราเรียกภาพนั้นว่า ภาพชัดตื้น แต่ถ้าในภาพมีระยะชัดมากหรือครอบคลุมเกือบทั่วทั้งภาพ เราเรียกภาพลักษณะนี้ว่า ภาพชัดลึก

ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงกับระยะชัดในภาพคือขนาดรูรับแสงและตำแหน่งโฟกัสภาพ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงขนาดรูรับแสงก่อนเป็นอันดับแรก

การควบคุมระยะชัดในภาพให้มีมากหรือน้อย กำหนดได้ด้วยขนาดรูรับแสง หากเลือกใช้ขนาดรูรับแสงกว้างจะทำให้ช่วงระยะชัดในภาพมีน้อย ตรงกันข้ามขนาดรูรับแสงที่เล็กแคบจะช่วยเพิ่มระยะชัดในภาพให้มีมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากเราถ่ายภาพคนที่อยู่ห่างออกไป 2 เมตร โดยใช้เลนส์ 50 มม.ตำแหน่งโฟกัสภาพคือใบหน้า ถ้าเลือกใช้ขนาดรูรับแสงที่ f2.8 ระยะชัดที่เกิดในภาพจะมีเฉพาะแต่ตัวคนเท่านั้น หมายถึงว่าส่วนอื่นนอกเหนือจากนั้นจะเริ่มพร่าเลือน ยิ่งห่างจากตำแหน่งโฟกัสมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพร่าเลือนมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าเปลี่ยนขนาดรูรับแสงให้เล็กลงเป็น f5.6 เราจะได้ระยะชัดที่เพิ่มมากขึ้น ตัวคนจะคมชัดทั้งหมดรวมไปถึงสิ่งของที่อยู่ใกล้ในบริเวณนั้นด้วย และถ้าใช้ขนาดรูรับแสงที่เล็กแคบมากๆ เช่นขนาด f16 ระยะชัดในภาพก็จะยิ่งมีมากขึ้นอีก โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวคนเป็นระยะทางมากขึ้น

การถ่ายภาพบางประเภทจำเป็นต้องคุมระยะชัดในภาพให้มีมากพอ เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน เช่นภาพวิว ภาพสถานที่ ขนาดรูรับแสงที่ใช้จึงมักมีขนาดเล็ก โดยมากจะอยู่ในช่วง f8 เป็นต้นไปจนถึง f16 หรือ f22

แต่กับภาพบางประเภท ระยะชัดเพียงน้อยนิดกลับทำให้ภาพดูดีกว่า เช่นการถ่ายภาพบุคคล หรือภาพพอร์ทเทรต เมื่อเราปล่อยให้สิ่งต่างๆในภาพเลือนหายไปอยู่นอกระยะชัด คนในภาพจะดูลอยเด่นเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น เราอาจเลือกใช้รูรับแสงได้ตั้งแต่ f1.4 ไปจนถึง f5.6 ซึ่งเป็นขนาดรูรับแสงที่ให้ระยะชัดไม่มากนัก เพื่อขจัดส่วนอื่นออกไป

ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงเท่าใด ขึ้นอยู่กับลักษณะของภาพที่ถ่ายและแนวชอบของช่างภาพแต่ละคนเป็นหลัก ไม่ถือเป็นกฏตายตัวแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

landscape คืออะไร

landscape คือ การถ่ายภาพแนววิวทิวทัศน์ ผู้ที่ชอบถ่ายแนว landscape นั้นต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล การรอเวลา และต้องเสียพละกำลังเป็นจำนวนมาก บางคนมักพูดว่า การถ่าย landscape นั้นต้องใช้เลนส์ wide (เลนส์มุมกว้าง ) แต่จริงๆแล้วเลนส์ซูมก็สามารถถ่ายในแนว landscape ได้เหมือนกัน เช่น ทะเลหมอก พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น/ตก ทำให้ภาพดูเด่นและ ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว การซูมเข้าไปยังวัตถุนั้นทำให้ภาพวิวแปลกตาขึ้นอีกด้วย การถ่ายภาพแนว landscape (แนวทิวทัศน์) นั้นควรมีฉากหน้าและฉากหลัง เพื่อให้แสดงระยะของมิติภาพ บางครั้งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาฉากหน้าหรือฉากหลังให้เด่นกว่ากัน อาจใช้ฉากหน้าเป็นเฟรมของภาพ หรือให้ฉากหน้าเป็นเส้นนำสายตาไปยังจุดของฉากหลัง เราสามารถนำเส้นนำสายตาเช่นแนวเส้นถนน ช่องหิน สายน้ำ แนวหิน เส้นขอบสะพาน เป็นตัน

การถ่าย การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ( landscape ) ต้องเตรียมตัวและปรับตั้งค่าอะไรบ้าง
1. ขาตั้งกล้อง เพราะบางช่วงเวลาอาจมีแสงน้อยเช่นถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น / ตก เวลาถ่ายรถวิ่งในยามค่ำคืน การใช้รูรับแสงแคบ เช่น F 16 ขึ้นไปแฉกที่เกิดจากการสะท้อนแสงจะเป็นเส้นๆดูสวยงาม
2. ปรับการตั้งค่าไปที่หมวด M และปรับ ISO ที่น้อยที่สุด
3. ปรับแต่ง WB เพื่อภาพที่ดูแตกต่าง
4. มักนิยมปรับค่ารูรับแสงอยู่ที่ F16 ขึ้นไปในการถ่าย landscape
5. ถ่ายด้วยไฟล์ Raw เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าแสงได้ทีหลัง ( มักมีในกล้องดิจิตอลราคาแพง )


วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการถ่ายภาพ Portrait ด้วยแสงธรรมชาติ

การถ่ายภาพ Portrait หมายถึงการถ่ายภาพบุคคล ดังนั้นในภาพจะต้องเน้นบุคคลเป็นหลัก แม้ว่าจะมีฉากหลังหรือส่วนประกอบอื่นๆเข้ามาบ้างก็ตาม ก็ต้องไม่ทำให้ภาพบุคคลนั้นด้อยหรือลดความโดดเด่นลงไป การเน้นตัวบุคคลจะต้องแสดงออกถึงอารมณ์ของบุคคลนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะแสดงออกทางอารมณ์ด้วยแววตา ท่าทาง แสง บรรยากาศ มีบางคนเข้าใจผิดว่าการถ่ายภาพสัตว์เดี่ยวๆ การถ่ายภาพดอกไม้โดดๆ การถ่ายภาพสิ่งของต่างๆ เป็นการถ่ายภาพ Portrait จนมีการเรียกกันต่างๆนานาว่า Portrait สุนัข.. Portrait แมว.. Portrait หมีแพนด้า.. Portrait ดอกไม้.. ซึ่งการถ่ายภาพเหล่านี้ไม่เข้าข่ายการถ่ายภาพที่จะเรียกได้ว่าเป็นการถ่ายภาพ Portrait เลยซะหน่อย เพียงแต่การถ่ายภาพในลักษณะนี้บางอย่างจะใช้เทคนิคการถ่ายภาพ Portrait เข้ามาใช้ในการถ่ายภาพบ้างก็แค่นั้น

อุปกรณ์ที่จำเป็น




การถ่ายภาพ Portrait กล้องถ่ายภาพแบบ SLR จะเหมาะสมที่สุด เหตุผลก็เรื่องของ Depth-of-field ล้วนๆ ในเรื่องของเลนส์ดูจะมีความสำคัญมากในการถ่ายภาพ Portrait เลนส์ที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ Portrait จะใช้ช่วงเลนส์เทเลโฟโต้มากที่สุด เพราะช่วงเลนส์เทเลโฟโต้จะทำให้สัดส่วนของบุคคลผิดเพี้ยนน้อย หรือถ้ามีการผิดเพี้ยนไปบ้างก็ผิดเพี้ยนไปทางที่สวยงาม บางคนเคยเห็นภาพบุคคลที่ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง มุมมองของเลนส์มุมกว้างจะให้ความผิดเพี้ยนมาก ใครที่ไม่ชำนาญในการใช้เลนส์มุมกว้างก็ไม่สามารถควบคุมความผิดเพี้ยนของตัวบุคคลได้เลย ดังนั้นหากเรายังเป็นมือใหม่ในการถ่ายภาพบุคคลของให้ใช้เลนส์เทเลโฟโต้ในการถ่ายภาพไปก่อน เมื่อเรามีชั่วโมงบินสูงกว่านี้แล้วก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้เลนส์มุมกว้างหรือเลนส์ชนิดอื่นๆเข้ามาช่วยสร้างสรรค์งานถ่ายภาพบุคคลของเราได้ เลนส์เทเลโฟโต้ที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพ Portrait จะอยู่ที่ 85-135 mm. มากกว่านี้อาจจะไม่เหมาะ น้อยกว่านี้อาจจะไม่งาม นี่ว่ากันสำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่ๆนะ พวกมือเก๋ามือเก่าจะใช้ Focal Length อะไรก็ได้...จาก Focal Length ที่แนะนำมานั้นสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมต้องใช้เลนส์เทเลโต้ที่มีช่วง Focal Length แค่นี้ล่ะ..จะใช้มากกว่านี้ไปเลยจะได้ไหม๊..? เดี๋ยวต้องติดตามกันต่อไป













อุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆในการถ่ายภาพบุคคลให้ดูดี ดูสวยอย่างมีศิลป์ ก็ต้องใช้ “แผ่นสะท้อนแสง (Reflector)” สมัยก่อนใครได้ใช้แผ่นสะท้อนแสงในการถ่ายภาพ Portrait ถือว่าเท่มากๆ เพราะสมัยก่อนราคาแผ่นสะท้อนแสงนี่ก็ต้องที่หลักห้าหกพันบาท แต่เดี๋ยวนี้พี่จีนพี่ไทยเราทำซะเหลือราคาแค่หลักร้อยปลายๆแค่นั้น เราจึงเห็นนักถ่ายภาพ Portrait หาซื้อมาใช้กันเกลื่อนเมืองไปเลย แผ่นสะท้องแสงเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีเงิน สีทองเหลืองอร่าม สีบรอนซ์ทอง สีขาว สีสันที่แตกต่างกันนี้ความเหมาะสมในการใช้งานก็ย่อมแตกต่างกันไป ก็อย่างว่าแหละเดี๋ยวนี้พี่จีนพี่ไทยออก Idea แผ่นสะท้อนแสงซะให้มีครบทุกสีเลย ซื้อหนึ่งแผ่นได้สีเงิน สีทอง สีขาว แถมสีดำให้อีก เล่นเอาแผ่นสะท้อนแสงยี่ห้อโปรแถบยุโรปถอยกรูกันแทบไม่ทัน แผ่นสะท้อนแสงสีเงินจะใช้ในช่วงเช้าๆหรือเย็นๆที่มีปริมาณแสงไม่มากนัก อีกทั้งอุณหภูมิสีก็ต่ำซะอีก การถ่ายภาพด้วยอุณหภูมิสีต่ำแล้วยังตั้ง White Balance เป็น Daylight ภาพ Portrait ที่ได้ก็จะเหลืองเป็นดีซ่านไปเลย เราจึงต้องแก้ไขด้วยการใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินเข้าช่วย เพราะนอกจากจะช่วยเปิดเงาให้สว่างขึ้นแล้ว ยังช่วยลดความเหลืองที่ตัวบุคคลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย





แผ่นสะท้อนแสงสีทองเหลืองอร่ามกับสีทองบรอนซ์เอาไว้ใช้ช่วงเวลาไหนล่ะ...? ในบางสถานที่เราไม่อาจจะเข้าไปถ่ายภาพในช่วงเช้าๆหรือเย็นๆได้ การถ่ายภาพด้วยแสงแรงๆตอนสายๆทำให้สีสันของนางแบบเราขาวขึ้น เมื่อใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินก็ยิ่งทำให้นางแบบของเราขาวสว่างจนขาดสีสัน การเลือกใช้แผ่นสะท้อนแสงสีทองหรือสีบรอนซ์ก็เอามาใช้ในกรณีนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะจะช่วยเพิ่มสีเหลืองอ่อนๆเข้าไป ทำให้นางแบบเราดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น











การใช้เลนส์และอุปกรณ์เสริม
อย่างที่บอกข้างต้นแล้วว่าการถ่ายภาพ Portrait ต้องอาศัย Focal Length ของเลนส์เทเลโฟโต้จะเหมาะที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกใช้เลนส์อภิมหาเทเลโฟโต้มาถ่ายภาพกัน เลนส์เทเลโฟโต้ทำให้ภาพบุคคลผิดเพี้ยนน้อยแต่ก็จะไม่ผิดเพี้ยนไปเลย ใครที่เคยใช้เลนส์เทเลโฟโต้มาบ้างจะเห็นว่า “ทัศนมิติ (Perspective)” ของเลนส์เทเลโฟโต้นั้นจะทำให้วัตถุที่อยู่ไกลให้ดูเหมือนอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราสามารถถ่ายภาพเสาไฟฟ้าที่เรียงรายห่างกันกว่าสิบเมตรให้มาอยู่ชิดติดกันเหมือนห่างกันแค่คืบ นี่เป็นลักษณะเด่นของ Focal Length แบบเทเลโฟโต้ ยิ่งมี Focal Length มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ Perspective แน่นมาขึ้นเท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้แล้วลองมามองภาพบุคคลบ้างถ้าหากว่าเราถ่ายภาพใบหน้าคนด้วยเลนส์ขนาด Focal Length 400-500 mm. ล่ะ..จะเกิดอะไรขึ้น...? อาการ “หน้าแบน” กับอาการ “หน้าบาน” จะถามหามาทันที ทำไม..ทำไม..?








การถ่ายภาพ Indoor ที่ใช้แสงส่องตรงๆเข้ามาที่ตัวแบบเลย จึงใช้เทคนิคเดียวกันกับการถ่ายภาพ Outdoor ความเปรียบต่างของแสงกับฉากหลังทำให้เห็นแสงริมไลท์อย่างชัดเจน ภาพนี้ใช้แผ่นโฟมสีขาวเป็นแผ่นสะท้อนแสง เพราะปริมาณแสงมากๆแบบนี้แผ่นโฟมจะให้แสงที่นุ่มกว่าการใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินมาก Lens : 24-85 mm.




Focal Length : 85 mm. รายละเอียด : f/4.5, 1/50 sec., ISO-800 การวัดแสง : Evaluative Metering 35 Zone White Balance : Daylight Reflector : White -----------------------------------------------------------------------
























Perspective ที่แน่นขึ้นจาก Focal Length ที่มากขึ้นนี้จะทำให้ช่วยดึงพื้นที่ด้านหลังของแก้มบนใบหน้าให้อยู่ในระนาบใกล้เคียงกับพื้นที่ด้านหน้า ใครที่มีใบหน้าอ้วนกลมจึงไม่เหมาะกับการใช้เลนส์เทเลโฟโต้ที่มี Focal Length มากๆแบบนี้เลย จากปรากฎการณ์ที่ว่านี้ทำให้เราสามารถแก้ไขความไม่ลงตัวของใบหน้าคนได้ด้วยการใช้ Focal Length ที่แตกต่างกัน เมื่อเจอนางแบบที่มีรูปทรงของใบหน้าเรียว ผอม ดูไม่อิ่มเอิบ เราสมควรใช้เลนส์เทเลโฟโต้ตั้งแต่ 100-135 mm. บางครั้งใช้ที่ 200 mm. ก็ยังไหว เพราะรูปทรงใบหน้าแบบนี้จำเป็นต้องดึง Perspective ของพื้นที่ด้านหลังของแก้มเข้ามาช่วยสร้างความอิ่มเอิบให้กับใบหน้า เรียกได้ว่าการถ่ายภาพด้วย Focal Length แบบนี้ถ่ายภาพให้นางแบบอ้วนกว่าตัวจริงนั่นเอง ในมุมมองที่ต่างกันเมื่อเราต้องถ่ายภาพนางแบบที่มีใบหน้ากลม ใบหน้าแบน เราก็จะเลือกใช้ Focal Length ที่ไม่มากนักประมาณ 80-100 mm. แค่นั้นพอ ก็เพราะเราไม่อยากไปซ้ำเติมความหน้าบาน ความอ้วนให้นางแบบเราดูสวยน้อยลงไปนั่นเอง




มาถึงตรงนี้คงพอจะเลือกใช้ Focal Length ที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ Portrait กับบ้างแล้วนะ...ก็มาถึงการใช้แผ่นสะท้อนแสงกันต่อเลย การวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงมีความสำคัญมากๆ หากเราวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงผิด นางแบบของเราใบหน้าจะผิดส่วนไปได้ สันจมูกเบี้ยว ปากเบี้ยว หน้ามัน เงาบนใบหน้าเละเทะไปหมด จำกันง่ายๆเลยว่าตำแหน่งของแผ่นสะท้อนจะต้องอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้า นางแบบยืนแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องยกสูง นางแบบนั่งแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องลดต่ำลง เพราะการใช้แผ่นสะท้อนแสงในการถ่ายภาพ Portrait นั้นแสงจากแผ่นสะท้อนแสงถือว่าเป็น “แสงหลัก (Main Light)” ถ้าตำแหน่งของแสงหลักผิด รูปร่างหน้าตาของนางแบบเราจะดูได้เช่นไรกัน..? นอกจากการวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงจะต้องอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าแล้ว องศาของการวางแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องช่วยสร้างมิติบนใบหน้าด้วย การวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงไว้ด้านข้างแค่ไหนจึงจะสวย สังเกตกันได้อย่างไร..? ไม่ต้องไปคอยวัดองศากันตามตำราเลย ให้สังเกต “เงาที่สันจมูก” เป็นหลัก หากเงาที่สันจมูกตรง ใบหน้าก็จะได้รูปทรงสวยงาม หากเงาของสันจมูกเบี้ยวต่อให้นางแบบสวยระดับนางงามแค่ไหนก็หาความสวยได้ยาก เพราะเงาของสันจมูกที่เบี้ยวจะทำให้ใบหน้าผิดรูปทรงไปได้เลย เมื่อพูดถึงสันจมูกแบบนี้แล้วการถ่ายภาพนางแบบที่สวยแต่ดั้งจมูกต่ำไปหน่อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ให้เราวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงไว้ด้านข้างของนางแบบในมุมองศาที่จะช่วยขับเหลี่ยมเงาของสันจมูกขึ้นมาได้ แค่นี้นางแบบดั้งจมูกแบนของเราก็สวยงามขึ้นอย่างทันตาเห็น








การถ่ายแบบหน้าตรงติดบัตรแบบนี้ความน่าสนใจจะอยู่ที่ความสวยงามของตัวแบบ จะเป็นนางแบบหน้าตาสะสวย หรือตัวแบบแก่ๆหน้าเหี่ยวย่นอย่างได้ใจก็จะเน้นการถ่ายภาพในลักษณะนี้ ภาพนี้จะเห็นว่าแววตาปิ๊งจริงๆ ก็มาจากแผ่นสะท้อนแสงและการมองไปในตำแหน่งแสงสว่าง ก็จะทำให้เกิดการสะท้อนเข้าตาให้ดูปิ๊งแบบนี้ได้
Lens : 70-200 mm.
Focal Length : 110 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/200 sec., ISO-1600
การวัดแสง : Evaluative Metering 63 Zone
White Balance : Daylight
Reflector : Silver
-----------------------------------------------------------------------








การใช้เลนส์และอุปกรณ์เสริม

อย่างที่บอกข้างต้นแล้วว่าการถ่ายภาพ Portrait ต้องอาศัย Focal Length ของเลนส์เทเลโฟโต้จะเหมาะที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกใช้เลนส์อภิมหาเทเลโฟโต้มาถ่ายภาพกัน เลนส์เทเลโฟโต้ทำให้ภาพบุคคลผิดเพี้ยนน้อยแต่ก็จะไม่ผิดเพี้ยนไปเลย ใครที่เคยใช้เลนส์เทเลโฟโต้มาบ้างจะเห็นว่า “ทัศนมิติ (Perspective)” ของเลนส์เทเลโฟโต้นั้นจะทำให้วัตถุที่อยู่ไกลให้ดูเหมือนอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราสามารถถ่ายภาพเสาไฟฟ้าที่เรียงรายห่างกันกว่าสิบเมตรให้มาอยู่ชิดติดกันเหมือนห่างกันแค่คืบ นี่เป็นลักษณะเด่นของ Focal Length แบบเทเลโฟโต้ ยิ่งมี Focal Length มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ Perspective แน่นมาขึ้นเท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้แล้วลองมามองภาพบุคคลบ้างถ้าหากว่าเราถ่ายภาพใบหน้าคนด้วยเลนส์ขนาด Focal Length 400-500 mm. ล่ะ..จะเกิดอะไรขึ้น...? อาการ “หน้าแบน” กับอาการ “หน้าบาน” จะถามหามาทันที ทำไม..ทำไม..? Perspective ที่แน่นขึ้นจาก Focal Length ที่มากขึ้นนี้จะทำให้ช่วยดึงพื้นที่ด้านหลังของแก้มบนใบหน้าให้อยู่ในระนาบใกล้เคียงกับพื้นที่ด้านหน้า ใครที่มีใบหน้าอ้วนกลมจึงไม่เหมาะกับการใช้เลนส์เทเลโฟโต้ที่มี Focal Length มากๆแบบนี้เลย จากปรากฎการณ์ที่ว่านี้ทำให้เราสามารถแก้ไขความไม่ลงตัวของใบหน้าคนได้ด้วยการใช้ Focal Length ที่แตกต่างกัน เมื่อเจอนางแบบที่มีรูปทรงของใบหน้าเรียว ผอม ดูไม่อิ่มเอิบ เราสมควรใช้เลนส์เทเลโฟโต้ตั้งแต่ 100-135 mm. บางครั้งใช้ที่ 200 mm. ก็ยังไหว เพราะรูปทรงใบหน้าแบบนี้จำเป็นต้องดึง Perspective ของพื้นที่ด้านหลังของแก้มเข้ามาช่วยสร้างความอิ่มเอิบให้กับใบหน้า เรียกได้ว่าการถ่ายภาพด้วย Focal Length แบบนี้ถ่ายภาพให้นางแบบอ้วนกว่าตัวจริงนั่นเอง ในมุมมองที่ต่างกันเมื่อเราต้องถ่ายภาพนางแบบที่มีใบหน้ากลม ใบหน้าแบน เราก็จะเลือกใช้ Focal Length ที่ไม่มากนักประมาณ 80-100 mm. แค่นั้นพอ ก็เพราะเราไม่อยากไปซ้ำเติมความหน้าบาน ความอ้วนให้นางแบบเราดูสวยน้อยลงไปนั่นเอง
















การถ่ายภาพแบบ Indoor จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องอีกทั้งตัวแบบเองก็ต้องโพสท่านิ่งๆด้วย เพราะปริมาณแสงที่น้อยกว่าการถ่ายภาพ Outdoor มาก ภาพนี้ใช้แผ่นสะท้อนแสงสีทองเข้าช่วยเพื่อลดอุณหภูมิสีของแสงสูง ทำให้สีสันออกไปโทนฟ้าๆเมื่อมาถ่ายภาพ Portrait แล้วดูไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไหร่ หากไม่มีแผ่นสะท้อนแสงสีทองก็ให้ปรับ White Balance ช่วยก็ได้เช่นกัน Lens : 70-200 mm.




Focal Length : 98 mm.
รายละเอียด : f/4, 1/80 sec., ISO-640
การวัดแสง : Spot
White Balance : Daylight
Reflector : Silver -----------------------------------------------------------------------





มาถึงตรงนี้คงพอจะเลือกใช้ Focal Length ที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ Portrait กับบ้างแล้วนะ...ก็มาถึงการใช้แผ่นสะท้อนแสงกันต่อเลย การวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงมีความสำคัญมากๆ หากเราวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงผิด นางแบบของเราใบหน้าจะผิดส่วนไปได้ สันจมูกเบี้ยว ปากเบี้ยว หน้ามัน เงาบนใบหน้าเละเทะไปหมด จำกันง่ายๆเลยว่าตำแหน่งของแผ่นสะท้อนจะต้องอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้า นางแบบยืนแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องยกสูง นางแบบนั่งแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องลดต่ำลง เพราะการใช้แผ่นสะท้อนแสงในการถ่ายภาพ Portrait นั้นแสงจากแผ่นสะท้อนแสงถือว่าเป็น “แสงหลัก (Main Light)” ถ้าตำแหน่งของแสงหลักผิด รูปร่างหน้าตาของนางแบบเราจะดูได้เช่นไรกัน..? นอกจากการวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงจะต้องอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าแล้ว องศาของการวางแผ่นสะท้อนแสงก็ต้องช่วยสร้างมิติบนใบหน้าด้วย การวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงไว้ด้านข้างแค่ไหนจึงจะสวย สังเกตกันได้อย่างไร..? ไม่ต้องไปคอยวัดองศากันตามตำราเลย ให้สังเกต “เงาที่สันจมูก” เป็นหลัก หากเงาที่สันจมูกตรง ใบหน้าก็จะได้รูปทรงสวยงาม หากเงาของสันจมูกเบี้ยวต่อให้นางแบบสวยระดับนางงามแค่ไหนก็หาความสวยได้ยาก เพราะเงาของสันจมูกที่เบี้ยวจะทำให้ใบหน้าผิดรูปทรงไปได้เลย เมื่อพูดถึงสันจมูกแบบนี้แล้วการถ่ายภาพนางแบบที่สวยแต่ดั้งจมูกต่ำไปหน่อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ให้เราวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงไว้ด้านข้างของนางแบบในมุมองศาที่จะช่วยขับเหลี่ยมเงาของสันจมูกขึ้นมาได้ แค่นี้นางแบบดั้งจมูกแบนของเราก็สวยงามขึ้นอย่างทันตาเห็น








นี่ก็ถ่ายกันกลางแจ้งแดดเปรี้ยงกันเลย การหาฉากหลังที่เล่าเรื่องได้บางครั้งก็ช่วยเสริมให้ภาพ Portrait ของเรามีความน่าสนใจมากขึ้นด้วย ใครเห็นภาพที่ก็ต้องถามว่าไปถ่ายที่ไหนเหรอมีต้นซากุระสีชมพูด้วย..? ภาพนี้ใช้ฉากหลังเป็นต้นไม้ที่ออกดอกสีชมพูแค่นั้นไม่ใช่ซากุระที่ไหนหรอก เพียงแต่ให้ฉากหลังพ้นระยะชัดมากๆก็ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นอะไร แต่ดูสวยดีใช่ไหม๊ล่ะ..? Lens : 70-200 mm.




Focal Length : 155 mm.
รายละเอียด : f/8, 1/250 sec., ISO-200
การวัดแสง : Evaluative Metering 35 Zone, Under +2/3 stop
White Balance : Daylight
Reflector : Gold -----------------------------------------------------------------------








การปรับตั้งกล้อง
พวกเรามักจะถูกแนะนำมาเสมอว่าการถ่ายภาพ Portrait ต้องใช้ f/Number กว้างๆเข้าไว้เพื่อผลของระยะชัดลึกที่ทำให้ฉากหลังพ้นระยะชัดในขณะที่นางแบบของเราชัดเป๊ะ..!! นี่ถือเป็นคำแนะนำที่ถูกแต่ก็ไม่ทั้งหมด การถ่ายภาพ Portrait ที่เน้นเฉพาะเจอะจงที่ใบหน้าแบบเต็มๆเฟรม เราก็จำต้องเดินเข้าไปถ่ายภาพในระยะใกล้ๆ การเข้าใกล้นางแบบมากเท่าไหร่ระยะชัดลึกก็จะน้อยลงไปเท่านั้น ถ้าเรายังใช้ f/Number กว้างเกินไปจะทำให้ไม่สามารถควบคุมระยะชัดลึกได้ทั้งหมด บางครั้งตาซ้ายชัดตาขวาไม่ชัด จมูกไม่ชัด ปากไม่ชัด ถ้าไม่ได้จงใจให้พ้นระยะชัดแบบนี้ก็ต้องปรับค่า f/Number ให้เล็กลงไปอีก บางครั้งอาจจะต้องถ่ายที่ f/8 หรือ f/11 ไปเลยก็มี
เราจะมีวิธีคิดอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่า f/Number ที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ Portrait ใช้กันที่เท่าไหร่...? เรื่องนี้เป็นการเน้นความคมชัดที่นางแบบและปล่อยให้ฉากหลังพ้นระยะชัด เรื่องแบบนี้ขอให้ยึดหลักที่ว่า “อยู่ใกล้นางแบบ ระยะชัดลึกน้อย อยู่ไกลนางแบบ ระยะชัดลึกมาก” อย่างเช่น..ในการถ่ายภาพนางแบบเต็มตัว เห็นตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยเลนส์ Focal Length สัก 105 mm. การใช้ Focal Length ขนาดนี้ในการถ่ายภาพแบบเต็มตัวทำให้เราต้องอยู่ห่างจากนางแบบมาก เมื่อเราอยู่ห่างจากนางแบบมากทำให้ระยะชัดลึกสูงขึ้นไปด้วย การถ่ายภาพในลักษณะนี้จึงต้องใช้ f/Number กว้างๆซะหน่อยเพื่อผลของฉากหลังที่พ้นระยะชัด จะเห็นว่าทั้งหมดทั้งปวงนี้ไม่มีสูตรตายตัวชัดๆแต่ขึ้นอยู่กับเหตุและผลในการถ่ายภาพมากกว่า การตั้งค่า White Balance มีผลกับการถ่ายภาพ Portrait อย่างไรกัน..? โดยส่วนตัวแล้วมักจะชอบตั้งค่า White Balance ที่ Daylight สำหรับการถ่ายภาพ Portrait มากที่สุด ก็เป็นเหตุผลส่วนตัวนะที่เคยใช้ฟิล์ม Daylight มาก่อนแล้วเห็นว่ามันสวยก็เลยติด การถ่ายภาพ Portrait ให้ได้อารมณ์ต้องให้สีสันอยู่ในช่วง Warm Tone จะน่าดูกว่า ติดเหลืองนิดๆ ติดชมพูหน่อยๆ ภาพสาวของเราจะงามขึ้นอย่างมีน้ำมีนวล แต่ถ้าใครยังทำอารมณ์ในขณะถ่ายภาพไม่ได้ว่าอยากได้อารมณ์แบบไหน ก็ให้ปรับไปใช้ RAW File จะดีกว่าเพราะเราสามารถไปเปลี่ยนค่า White Balance ในขั้นตอนการแต่งภาพได้ เมื่อนั้นเราก็ต้องรู้อารมณ์ภาพ Portrait ของเราแล้วล่ะว่าเราอยากได้โทนสีแบบไหน..?




ระบบวัดแสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait มากที่สุดเห็นจะไม่พ้นระบบวัดแสงแบบ “เฉพาะจุด (Spot)” หรือระบบวัดแสงแบบ “เฉพาะส่วน (Partial)” ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าการวัดแสงบริเวณใบหน้าของนางแบบน่าจะได้ค่าแสงที่ใกล้เคียงกับ 18% นี่เป็นเหตุเป็นผลที่พวกเราหลายๆคนทราบกันมา ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยาก เพียงแค่เอาตำแหน่งวัดแสงไปทาบไว้บริเวณใบหน้านางแบบ แล้วก็ใช้ค่าแสงนั้นถ่ายภาพได้เลย เทคนิคและวิธีการแบบนี้ถ้าไปเจอนางแบบที่ขาวเหมือนสโนไวท์หรือดำเหมือนนิโกรล่ะ...การวัดแสงจะถูกต้องแม่นยำหรือไม่..? สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่การวิเคราะห์ค่าสะท้อนแสงของวัตถุอยู่ดี ทำให้บางคนกลับเลือกใช้ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยแล้วปรับค่าชดเชยแสง Over หรือ Under เอาเอง ก็แล้วแต่ความถนัดส่วนบุคคลก็แล้วกันนะ

อีกนึดนึง...เราจะวัดแสงกันได้ก็ต่อเมื่อนางแบบเราได้รับแสงในทิศทางที่เหมาะสมแล้วแผ่นสะท้อนแสงก็อยู่ในตำแหน่งที่สวยงามพร้อมจะถ่ายภาพได้ อย่าไปวัดแสงก่อนที่เราจะจัดแสงหรือจัดแผ่นสะท้อนแสงเสร็จ เพราะปริมาณแสงที่ตกลงที่นางแบบจะเปลี่ยนไป อย่ารีบร้อนวัดแสงเลยให้ทุกอย่างลงตัวก่อนแล้วค่อยวัดแสงขอเน้นตรงนี้หน่อย เพราะมีหลายๆคนพลาดมาเยอะแล้ว









การเปิดหน้าใช้ได้ผลกับภาพที่ต้องการแสดงอารมณ์สนุกสนาน มีความสุข มีอนาคต อีกอย่างนึงการถ่ายภาพ Portrait ไม่จำเป็นต้องให้ตัวแบบมองกล้องเสมอไป สายตาหลบหลีกบ้างให้ดูเอียงอายน่ารักๆ ก็สามารถสื่ออารมณ์แทนแววตาได้เช่นกัน
Lens : 70-200 mm.
Focal Length : 180 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/125 sec., ISO-200
การวัดแสง : Evaluative Metering 35 Zone, Under -1/3 stop
White Balance : Daylight
Reflector : Silver
-----------------------------------------------------------------------
ทิศทางแสงกับการถ่ายภาพ Portrait

การถ่ายภาพ Portrait สามารถถ่ายได้ทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคาร หรือที่พวกเราชอบพูดทับศัพท์ว่า Outdoor Portrait กับ Indoor Portrait การเลือกทิศทางแสงสำหรับถ่ายภาพ Portrait ทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกัน และผลที่ได้ก็มีความแตกต่างกันด้วยมาดูกันต่อว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง..? Outdoor จะเลือกแสงหลัง (Back Light) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..? ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส คุณภาพแสงมีความเปรียบต่างสูง (แต่ไม่มาก) เหตุผลที่ต้องใช้ทิศทางแสงมาจากด้านหลังนางแบบก็เพื่อต้องการ “แสงริมไลท์ (Rim Light)” แสงที่ว่านี้จะมีลักษณะสว่างจ้าเป็นเส้นตัดขอบรอบๆตัวนางแบบเราให้แยกส่วนออกจากฉากหลังอย่างสิ้นเชิง แสงแบบนี้ทำให้นางแบบของเรามีความโดดเด่นขึ้น และมีความน่าสนใจขึ้น เราจะเห็นว่าการถ่ายภาพด้วยแสงหลังนี้เป็นการถ่ายภาพย้อนแสงตรงๆ อย่างนี้แล้วนางแบบของเราใบหน้าจะไม่มืดดำหรือ..? นี่ก็ต้องใช้แผ่นสะท้อนแสงช่วยเปิดเงาดำบนใบหน้าให้สว่างขึ้น การถ่ายภาพ Portrait ด้วยวิธีย้อนแสงแบบนี้ แสงจากแผ่นสะท้อนแสงจึงเหมือนเป็นแสงหลัก (Main Light) สำหรับการถ่ายภาพบุคคลไปเลย ก็อย่างที่บอกแล้วว่าถ้าเราวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงไม่ดี นางแบบเราก็จะไม่สวย






การเล่นเทคนิคพิเศษเพื่อให้น้ำหนักสีของภาพเป็นไปอย่างที่ใจต้องการแบบนี้ก็ต้องพึ่งโปรแกรมตกแต่งภาพกันหน่อย ในสมัยก่อนเทคนิคแบบนี้เราถ่ายได้ในช็อตเดียวเลยโดยใช้แผ่นพลาสติกสีขาวๆมาเจอะรูตรงกลางแล้ววางแปะไว้หน้าเลนส์เทเลโฟโต้ แค่นี้เราก็จะได้ภาพฟุ้งๆบริเวณขอบภาพแบบนี้กันแล้ว
Lens : 18-200 mm.
Length : 200 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/320 sec., ISO-1600
การวัดแสง : Evaluative Metering 63 Zone
White Balance : Daylight
Reflector : Silver
-----------------------------------------------------------------------
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพ Outdoor ก็ต้องเช้าๆหรือเย็นๆ เพราะช่วงเวลานี้แสงยังไม่แรงนัก ความนุ่มนวลของแสงในช่วงเวลานี้เหมาะมากๆ ถ้าเช้าๆนี่ก็เจ็ดถึงแปดโมงเช้าสำหรับเวลาในประเทศไทยเราจะเหมาะจริงๆ นัดนางแบบมาเช้าๆได้เลยจะได้ไม่เสียโอกาสแสงยามเช้ากัน อีกทั้งแสงในช่วงเวลาเช้าหรือเย็นจะเป็นทิศทางแสงเฉียง การได้แสงริมไลท์จะทำได้ง่ายกว่าและสวยกว่ามาก ที่สำคัญนางแบบเราก็จะไม่ร้อนจนเสียอารมณ์แล้วตากล้องอย่างเราก็จะไม่ร้อนจนกล้องรวน

การถ่ายภาพ Outdoor Portrait จะใช้ช่วงเวลาเช้าๆกับเย็น แต่ถ้ากลางวันแดดร้อนเปรี้ยงๆอย่างนี้ก็เข้ามาถ่ายภาพ Indoor กันดีกว่า การถ่ายภาพ Indoor Portrait จะเลือกทิศทางแสงจากด้านข้าง (Side Light) นี่ก็มาแปลกแตกต่างจากการถ่ายภาพ Outdoor Portrait แล้วล่ะซิ..? แสงที่ได้รับสำหรับการถ่ายภาพ Indoor Portrait มักจะเป็นแสงที่ผ่านการสะท้อนมาจากวัตถุอื่นๆมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประตู หน้าต่าง กำแพง ไม่ค่อยเห็นแสงที่ตกกระทบลงมาตรงๆเหมือนกับการถ่ายภาพ Outdoor Portrait แต่ก็มีในบางครั้งที่แสงจากภายนอกสะท้อนส่องตรงๆเข้ามาเลย แล้วก็สามารถถ่ายภาพได้สวยอีกด้วย เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักกับแสงสะท้อนแบบทั่วๆไปกันก่อนดีกว่า

Indoor Portrait จะใช้แสงที่สะท้อนมาจากต้นกำเนิดแสงเป็นแสงหลัก (Main Light) แล้วใช้แสงที่สะท้อนมาจากแผ่นสะท้อนแสงเป็นแสงเสริม (Fill Light) จะเห็นว่ามีความแตกต่างจากการถ่ายภาพ Outdoor Portrait อย่างมาก สาเหตุที่เราใช้แสงหลักมาจากต้นกำเนิดแสงเลยก็เพราะแสงด้านข้างที่ได้จะมีความอ่อนนุ่มเพราะได้ผ่านการสะท้อน ผ่านการกรองแสงมาจากสภาพแวดล้อมรอบข้างมาแล้ว ทำให้เราสามารถใช้แสงนี้เป็นแสงหลักได้เลย เมื่อแสงส่องเข้าทางด้านข้างของนางแบบทำให้อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้รับแสงมืดกว่าปกติ เราจึงใช้แผ่นสะท้อนแสงนี่แหละเป็นตัวเปิดเงา เพื่อให้ใบหน้าของนางแบบไม่มีความเปรียบต่างมากจนเกินไป การวางตำแหน่งของแผ่นสะท้อนแสงก็จะเหมือนๆกันกับการถ่ายภาพ Outdoor Portrait เพียงแต่การเข้าใกล้หรือถอยห่างแค่ไหนก็ขึ้นอยู่ว่าเราจะเปิดเงาให้สว่างมากน้อยอย่างไร..? โดยทั่วไปแล้วการให้น้ำหนักแสงเงาบนใบหน้าจะต้องมีความเปรียบต่างกันบ้าง ถ้าถ่ายภาพสาวสวยๆหน้าใสๆก็ให้เกิดเงาน้อยหน่อย ถ้าต้องการอารมณ์ที่ดุดันก็ต้องให้เกิดความเปรียบต่างมากๆหน่อย นี่เป็นการใส่อารมณ์ภาพให้กับนางแบบของเราได้เป็นอย่างดี









ภาพอารมณ์ฝันแบบนี้ก็ต้องใช้โปรแกรมตกแต่งภาพกันหน่อย ภาพนี้ถ่ายย้อนแสงเต็มๆแล้วใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินช่วยเปิดเงาทำเป็นแสง Main Light ไปเลย การหาฉากหลังที่ไม่เล่าเรื่องก็ต้องให้พ้นระยะชัดมากๆและมีความเปรียบต่างต่ำๆ เพื่อเน้นให้ตัวแบบโดดเด่นขึ้นเหมือนกำลังลอยมาตรงหน้าเราเลย
Lens : 70-200 mm.
Focal Length : 200 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/125 sec., ISO-400
การวัดแสง : Evaluative Metering 35 Zone, Under +1/3 stop
White Balance : Daylight
Reflector : Silver







การเลือกมุมมองและฉากหลัง

ฉากหลังมีผลกับความโดดเด่นของภาพบุคคลมาก ฉากหลังที่รกรุงรังจะทำให้ลดความโดดเด่นของภาพบุคคลลงไป การเลือกฉากหลังเรียบและมีความเปรียบต่างต่ำๆจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการถ่ายภาพบุคคล แต่ในบางครั้งเราอยากจะเล่าเรื่องจากฉากหลังขึ้นมาบ้าง ก็ต้องเลือกฉากหลังที่มีความเปรียบต่างต่ำๆหน่อย หรือไม่ก็พยายามทำให้ระยะชัดลึกตื้นๆหน่อย ฉากหลังที่ชัดจนเกินไปภาพบุคคลก็ไม่เด่น ฉากหลังที่พ้นระยะชัดมากจนเกินไปก็ไม่สามารถเล่าเรื่องได้ดีพอ การใช้ปุ่มเช็คความชัดลึกก่อนกดชัตเตอร์จึงมีความจำเป็นมากสำหรับการถ่ายภาพบุคคลที่ต้องการให้ฉากหลังเล่าเรื่องได้




ภาพดุๆแบบนี้กับแสงที่มี Ratio มากกว่าจะเน้นให้ดูหวานแหว๋ว แสงแบบนี้เหมาะกับการถ่ายภาพผู้ชาย หรือผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูง หรือหญิงเก่งอะไรพวกนั้น การวางน้ำหนักแสงแบบนี้และการให้แสงด้านข้างแบบนี้ ต้องเลี้ยงส่วนมืดให้ดีอย่าให้ขาดรายละเอียดจนเหมือนมีคนแค่ครึ่งหน้า เพราะภาพจะขาดความน่าสนใจไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
Lens : 24-105 mm.
Focal Length : 105 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/25 sec., ISO-1600
การวัดแสง : Evaluative Metering 353 Zone, Under +1/3 stop
White Balance : Daylight
Reflector : Silver
----------------------------------------------------------------
มุมมองในการถ่ายภาพบุคคลที่ดูดีจะอยู่ที่ระดับเดียวกับกันสายตา เพราะในมุมมองนี้ทำให้ภาพ Portrait ดูเหมือนมองเราอย่างตั้งใจ ดังนั้นถ้านางแบบยืนเราก็ยืนถ่ายภาพ อาจจะย่อตัวซะหน่อยถ้านางแบบเตี้ยกว่าเรา ถ้านางแบบนั่งเราก็ต้องนั่งลงให้กล้องของเราอยู่ในระเดียวกันกับสายตา นี่เป็นมุมมองของการถ่ายภาพ Portrait โดยทั่วไป ยังมีอีกกรณีนึงถ้าเราไปเจอนางแบบที่ตาเล็กหรือตาตี่นี่แหละเราจะถ่ายภาพอย่างไรให้นางแบบนั้นตาโตขึ้น..? จะให้นางแบบเบิ่งตาขึ้นมาเหรอ..? เดี๋ยวดูเหมือนจากเหลือกนะ..!! การแก้ไขง่ายๆด้วยมุมมองก็ต้องปรับระดับกล้องถ่ายภาพของเราให้อยู่สูงกว่านางแบบนิดนึง แล้วให้นางแบบเหลือกตาขึ้นมองกล้อง ในมุมมองนี้จะไม่ทำให้นางแบบดูตาเหลือกอย่างผิดปกติ แต่จะทำให้ดูสวยขึ้นและตาโตขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ การถ่ายภาพในมุมที่ต่ำกว่าใบหน้านางแบบดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะการถ่ายภาพจากมุมล่างจะทำให้เห็นพื้นที่ใต้คางมากขึ้นทำให้ดูอ้วน และจะเห็นรูจมูกชัดเจนแสดงให้เห็นถึงความน่าเกลียดมากว่าน่ารัก แต่ถ้าเราจำเป็นต้องถ่ายภาพในมุมต่ำกว่าก็พยายามอยู่ห่างจากตัวนางแบบมากๆหน่อย เพื่อให้มุมมองไม่เชิดเกินไป แล้วก็ต้องให้นางแบบเราก้มหน้ามองกล้องเราด้วย เพื่อลดพื้นที่ใต้คางลงไปและไม่เห็นรูจมูกจนน่าเกลียด






การโพสท่าแบบกุ๊ก กิ๊กทีเล่นทีจริงมักจะนิยมกับการถ่ายภาพเด็กๆหน้าใสๆ อาจจะไม่เหมาะนักกับการถ่ายภาพ Portrait ที่ดูเป็นทางการ ภาพนี้ถ่ายย้อนแสงเต็มๆแล้วใช้แผ่นสะท้อนแสงส่องเป็นแสง Main Light หาฉากหลังเข้มๆหน่อยช่วยเน้นแสงริมไลท์ได้ดีจริงๆ
Lens : 70-200 mm.
Focal Length : 135 mm.
รายละเอียด : f/5.6, 1/250 sec., ISO-320
การวัดแสง : Evaluative Metering 63 Zone, Under -1/3 stop
White Balance : Daylight
Reflector : Silver
----------------------------------------------------------------------
มาถึงตรงนี้จะเห็นว่าการถ่ายภาพ Portrait นั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย แม้ว่าการถ่ายภาพ Portrait จะเป็นการถ่ายภาพแบบประณีตละเอียดลออ มีการจัดท่าทาง มีการวางแสงอย่างมีศิลป์ ก็ยังต้องคอยปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการไปตามบุคลิกของนางแบบแต่ละคนที่แตกต่างกัน นี่ยังเป็นเพียงแค่การถ่ายภาพ Portrait เบื้องต้น ยังไม่ได้เจอะลึกลงไปมากกว่านี้ เอาไว้ถ้ามีโอกาสอีกจะมาแนะนำกันอย่างละเอียดอีกครั้งว่าการถ่ายภาพ Outdoor Portrait กับ Indoor Portrait มีวิธีการโดยละเอียดอย่างไร แล้วแสงแบบไหนเหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait ที่มีบุคลิกอย่างไรอีกไม่นานเกินรอจ้า..!!
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.pict4all.com/activity_system/detail_articledb.php?id_blog=19